คำชี้แจง
- แปลจาก “Spin-Off Pink to Gray” เขียนโดย “คาโต้ ชิเงอากิ” เขียนลงในนิตยสาร 小説野生時代 vol. 146
- ตัวละคร “อิชิกาว่า ซาริ” นั้นมีชื่อเล่นที่ทั้งคาวาโทริ, ซึซึกิ และคิโมโตะ เรียกกันว่า “Sally(サリー)” ในที่นี้จะใช้ชื่อว่า “เชลลี่”
- ตัวอักษรที่เป็นสีแดง หมายถึงอาจมีแปลผิดพลาด
- บริบทของคำจะถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่คนไทยใช้กัน อาจจะไม่ได้แปลตามต้นฉบับทั้งหมด แต่ยังคงเนื้อเรื่องทั้งหมดไว้
- ประโยคแปลก หรือแปลผิดพลาด สามารถทักได้ทุกเวลา ยินดีแก้ไขเพื่อให้เป็นผลงานที่ออกมาดีที่สุด
หากจะนำไปโพสที่อื่น รบกวนให้เครดิต
สารบัญ
Spin Off Pink to Gray #1
Spin Off Pink to Gray #2
Spin Off Pink to Gray #3
Spin Off Pink to Gray #4
พอผมรับเล่มหนังสือและจ้องที่หน้าปก รุ่นน้องก็ถามผมว่า “เอ๊ะ แต่ว่า…ไม่มีหนังสือส่งไปที่บ้านของคิโมโตะซังเหรอ”
“มีชื่ออยู่ในหนังสือด้วยนินา ไม่มีแบบมาขอใช้ชื่อในหนังสือแบบนี้เหรอ?”
“เรื่องที่ฉันยืมหนังสือ ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะ” ผมลุกขึ้นพลางเริ่มเก็บของเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน
มันก็เหมือนกับตอนงานไว้อาลัยก๊อตจิ วันต่อมา ผมตัดสินใจลางานที่บริษัทโดยให้เหตุผลโกหกไปว่า “รู้สึกไม่สบาย” แม้แต่กับภรรยา ผมก็ยังแกล้งป่วย พอผมบอกภรรยาว่าเดี๋ยวไปโรงพยาบาล เธอไม่พูดอะไรนอกเสียจาก “อ้อ” จากนั้นก็ออกไปส่งลูกสาว
เหลือผมอยู่คนเดียว…ผมเริ่มอ่านหนังสือเรื่อง “ชมพูเทา” และชื่อของผมก็โผล่มาในบทที่ 2 จากทั้งหมด 14 บท
มีตอนที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องแค่ 2 ตอน สำหรับตอนแรก เป็นตอนที่ริบะจังย้ายมาอาศัยอยู่ที่แมนชั่นที่ผม ก๊อตจิ และเชลลี่อาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ วันนั้นทั้งผม ก๊อตจิ และเชลลี่ตั้งใจกันว่าจะเดินไปที่สวนสาธารณะ แล้วเจอกับริบะจังที่กำลังโยนลูกบอลกับกำแพงพอดี ด้วยความที่ผมเป่ายิงฉุบแพ้ เลยต้องออกไปยืมถุงมือและลูกบอลจากเขา หลังจากนั้นผมก็ลองขว้างบอลกับกำแพงเหมือนที่ริบะจังทำ แต่เพราะรู้สึกว่าลูกบอลมันมีลักษณะแปลก ๆ ก็เลยเด้งเข้าหน้าผมเต็ม ๆ แล้วเราก็ขำกลิ้งด้วยกันทั้ง 4 คน…ในหนังสือก็เขียนไว้แบบนั้นแหละ…แต่มากกว่าที่แตกต่างจากความทรงจำของผมคือ ผมจำอะไรทำนองนั้นไม่ได้เลย ผมคิดว่าการที่พวกผมและริบะจังสนิทกันนั้น ไม่ได้มาจากเรื่องยิ่งใหญ่อะไร นอกจากว่าไปโรงเรียนด้วยกัน แต่ว่าเพราะหัวข้อนี้เป็นสิ่งที่ริบะจังมองเห็นและเขียนลงไป น่าจะมีความรู้สึกแตกต่างไปจากผม นอกจากนั้นการบรรยายของริบะจังยังชัดเจนมาก แสดงว่ามีความรู้สึกแตกต่างไปจากผมแน่ ๆ
ส่วนอีกตอนเกี่ยวกับมาโก้
มาโก้เป็นเป็ดที่บ้านของผมเลี้ยงไว้ อยู่มาวันหนึ่งมันก็หาย และหลายวันต่อมาพวกเราก็พบมาโก้อยู่ใกล้ ๆ บริเวณแมนชั่น แต่สภาพของมันกลับดูโหดร้ายทารุณมาก มีลูกศรเสียบอยู่ที่ปีกที่ถูกถอนขน นอกจากนั้นยังถูกใช้สีสเปร์ฉีดพ่นตัวอีก ส่วนไอ้คนทำก็เป็นพวกเด็กมัธยมปลายนิสัยเสียของถิ่นนี้ เจ้าเด็กพวกนั้นถูกจับกุมแทบจะทันที และมาโก้ก็เข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลสัตว์ และเพื่อฉลองให้กับมาโก้ที่ราวกับได้ชีวิตใหม่ เราจึงเล่นดอกไม้ไฟกันที่ลานจอดรถของแมนชั่น….เรื่องนี้ถูกเขียนไว้ในหนังสือ
หลังจากที่อ่าน น้ำตาของผมก็เอ่อซึมขึ้นมา จะด้วยเหตุผลอะไรนั้น แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจ
เป็นเพราะนึกถึงความเกลียดชังที่มีต่อเด็ก ม.ปลายพวกนั้นหรือเปล่า…หรืออาจจะเป็นเพราะดีใจที่ทุกคนจัดงานต้อนรับการออกจากโรงพยาบาลให้มาโก้
อาจจะใช่ทั้งสองอย่าง แต่เรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผมก็คือว่า ริบะจังจำเรื่องพวกนี้ได้ และเลือกที่จะยกมาเขียนเป็นพิเศษแบบนี้
สิ่งที่ริบะจังได้บรรยายนั้น ช่างแตกต่างจากเรื่องขว้างบอลกระทบผนัง ความทรงจำของเขาและผมซ้อนทับกันอยู่ นั่นหมายความว่าทั้งผมและริบะจังต่างก็มีความทรงจำที่มีร่วมกัน นอกจากนั้น ในความทรงจำของริบะจัง ยังคงมีผมอยู่
แค่นั้นผมก็สามารถโล่งใจได้แล้ว
แต่ทว่า เรื่องที่เราไปจับจักจั่น แล้วดันไปเจอกับด้วงคีม ซึ่งเราคิดกันว่าน่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของใครซักคน หรือไม่ก็เรื่องที่ริบะจังป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วก็แค่ภูมิแพ้ เรื่องพวกนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของผม แต่ไม่ได้เขียนลงไปในหนังสือ
เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เรื่องราวของผม กับก๊อตจิและริบะจัง แต่เป็นเรื่องราวระหว่างก๊อตจิกับริบะจังตางหาก ซึ่งมันก็เป็นปกติอยู่แล้ว ถ้า 2 คนนั่นจะเป็นเมนหลักของเรื่อง
หลังจากนั้น ถึงผมจะรู้ว่าไม่มีชื่อของตัวเองโผล่มาอีกแล้ว แต่ผมก็ยังคงอ่านต่อไปเรื่อย ๆ
และแล้ว เมื่อผมอ่านไปจนถึงตรงกลางเรื่อง ก็มีสิ่งที่ทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมาก
นั่นก็คือว่า ตอนที่ทั้งคู่เรียนมหาวิทยาลัย ทั้งริบะจังและก๊อตจิได้กลับมาเจอกับเชลลี่อีกครั้ง แถมทั้งสามคนยังเจอกันเรื่อยมา ภายในคำพูดที่ว่า “Stand by me” กลับมีแค่ผมเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในนั้น
ผมอ่านจบในรวดเดียว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ภรรยาและลูกสาวกลับมา ผมตาลีตาเหลือกซ่อนหนังสือ และเอนตัวลงบนโซฟา
“กลับมาแล้วเหรอ”
“กลับมาแล้ว!”
ลูกสาวกระโดดลงมาบนพุงที่ยื่นออกของผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของลูกห่อหุ้มตัวผมไว้ มือเล็ก ๆ นั้นตบแปะ ๆ ที่ใบหน้าของผม
“เดี๋ยวสิ ป่ะป๊าป่วยอยู่นะ” ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจอะไรเธอ ผมพูดอย่างนั้นพลางจับมือทั้งสองข้างของเธอชูขึ้น อีกฝ่ายดูท่าว่าจะเห็นสนุกจึงโยกร่างกายของตัวเองไปมา
“คนป่วยนี่ดูท่าจะแข็งแรงดีเนอะ”
ภรรยาพูดจาราวกับจะเหน็บแนมผม
“ก็ได้นอนทั้งวัน อาการก็เลยดีขึ้น ถึงจะรู้สึกไม่สบายอยู่ แต่ตรงนี้น่าจะไปทำงานได้” ผมทำเสียงตัวเองให้เล็กลง กระแอมไอ และตอบเธอไป
ภรรยาของผมทำเป็นไม่สนใจ เธอเดินหายเข้าไปในครัวเพื่อที่จะเตรียมอาหารเย็น
“ม่าม๊าช่วงนี้น่ากลัวเนอะ เหมือนไปเจอเรื่องน่ารังเกียจมาเลยอ่ะ~”
ผมพูดด้วยโทนเสียงเหย้าแหย่ลูกสาว พลันเธอก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ม่าม๊าาาา ป่ะป๊ากลัวน๊าาา~~” ภรรยายังคงทำทีเป็นไม่สนใจต่อไป “เฮ้ย! ไม่ใช่เรื่องที่จะไปฟ้องนะ~” ผมแกล้งแหย่ลูก ลูกสาวหัวเราะ ในขณะที่ภรรยานั้นเงียบ
ผมเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกับท่าทางของภรรยา ผมจึงผละจากลูกและเดินไปหาเธอที่ห้องครัว
“ล้อเล่นใช่มั้ย? ช่วงนี้เป็นอะไรหรือเปล่า? เหมือนกับเป็นคนละคน”
ผมเอ่ยถามเธอด้วยโทนเสียงที่เบา ภรรยาผู้ที่กำลังจะคาดผ้ากันเปื้อนอยู่หยุดมือลง
“คนละคน? นั่นสินะ”
“อืม เธอเย็นชาไปมั้ย?”
“คนที่เปลี่ยนเป็นคนละคนนี่ใครกันแน่น๊าาาา”
คำพูดนั้นน่าจะหมายถึงผมที่เปลี่ยนไป แต่สำหรับผมแล้ว เธอต้องการจะบอกอะไรนั้นไม่เข้าใจเลยซักนิด
“ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปซะหน่อย ก็เหมือนเดิมนิ”
ถึงบรรยากาศมันจะรู้สึกแปลก ๆ ก็ตามผมก็ยังคงมีหัวเราะด้วยทีท่าสบาย ๆ
ทันใดนั้น เธอก็จ้องตาผมเขม็ง “หนังสือของเพื่อนในวัยเด็กเป็นยังไงบ้างล่ะ” เธอพูดราวกับไม่พยายามที่จะเก็บอารมณ์
“เมื่อวานเห็นมันอยู่ในกระเป๋าไง เมื่อเช้าที่พูดว่าจะลาพัก คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”
เธอมองผมที่กำลังลนลานด้วยหางตา ก่อนที่จะหันไปเริ่มผูกเชือกผ้ากันเปื้อนต่อ การเคลื่อนไหวของเธอนั้นดูไม่สงบเท่าตะกี้นี้
“ขอโทษ ขอโทษ แต่ว่านะ ฉันก็แค่อยากจะมีสมาธิอ่านหนังสือของเพื่อนในวัยเด็กแค่นั้นนินา?”
ดูท่าว่าสถานกาณ์มันจะไม่ดีขึ้น ผมจึงเดินไปที่ตู้เย็นและหยิบเบียร์กระป๋องขึ้นมาเปิด
“จะบอกว่าสนุกมันก็…อืม…มันเป็นเรื่องการตายของก๊อตจิด้วยอ่ะ เอ่อ กล้าหาญบ้างล่ะ…แต่ว่า ฉันมีใจนะที่มีเรื่องที่ฉันรู้เขียนอยู่ในนั้นด้วย เป็นเรื่องที่มีแค่ฉันเท่านั้นที่เจอมาอ่ะ รู้สึกโชคดียังไงไม่รู้”
พูดจบก็กระดกเบียร์เข้าปาก
“แล้ว…”
เธอขัดคำพูดผม
และระเบิดอารมณ์ออกมาในที่สุด
“หาชื่อตัวเองอยู่ใช่มั้ยล่ะ”
เบียร์รู้สึกฝืดคอมากกว่าที่ผมคิดไว้
“ผิดแล้ว ไม่สินะ ถึงจะไม่ได้คิดผิด แต่ว่า ถ้ามีชื่อฉันเขียนอยู่บนนั้นก็น่าจะดีใจใช่มั้ยล่ะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เจอกันเลยแท้ ๆ แต่ก็ยังจำเรื่องของฉันได้”
“โกหก”
เธอพูดพลางสูดหายใจเฮือกใหญ่
“หลังจากชิรากิ เร็นโกะตาย คุณก็ดูกังวล ทำเหมือนกับตัวเองจะหายไปยังไงยังงั้น ทำท่าทางตกใจตลอด”
ผมเริ่มกรอกตาไปมา หาจุดที่จะจ้องไม่ได้
“จู่ ๆ ก็มาแกล้งป่วย ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร จะมาแอบอ่านหนังสือของเพื่อนในวัยเด็ก ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่า…”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ลูกสาวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ภรรยาของผมเงียบเสียงไป ผมจึงชี้นิ้วไปที่ห้องนั่งเล่น พลางบอกลูก “ไม่มีอะไรจ๊ะ ช่วยไปเล่นตรงนู้นก่อนนะ” พอลูกออกไปจนลับตาแล้ว เธอก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกด้วยเสียงอันเบา “เรื่องที่คุณพยายามหาเงาของตัวเองภายใต้พวกเขาสองคนนั้น สำหรับฉันแล้วอภัยให้ไม่ได้”
“แล้วก็ตั้งแต่คาวาโทริ ไดโด่งดังขึ้นมา คุณก็มีท่าทางโล่งอกโล่งใจ ฉันเกลียด…เหมือนคนบ้าเลยเหอะ ไอ้ท่าทางแบบนั้นน่ะ ทั้งคนรอบตัว ทั้งตอนที่อายุประมาณ 10 ขวบ ที่ถูกเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มองว่าเป็นของตาย คุณจะยึดติดกับเรื่องพวกนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
เสียงก้องกังวาลเรื่องเมื่อก่อน…ภายในตัวของผมเริ่มมีไฟก่อตัวขึ้น
พอรู้สึกตัวอีกที ผมก็ปากระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือไปที่อ่างล่างจาน
“ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดถึงขนาดนั้นเลย เธอเองก็เหมือนกัน ที่เข้ามาคุยกับฉัน เพราะเห็นว่าฉันเป็นเพื่อนกับชิรากิ เร็นโกะ”
“ก็เพราะเรื่องนั้น เรื่องนั้นมันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้น ตอนนี้ก็กลายเป็นเรื่องดีแล้วนิ”
เบียร์ไหลทะลักออกมาจากปากกระป๋อง ลงสู่ท่อระบายน้ำ
“แล้วทำไมถึงไม่ดีใจล่ะ ชื่อฉันเขียนเด่นหราอยู่ในงานเขียนของคาวาโทริ ได อย่าง “ชมพูเทา” เลยไม่ใช่เหรอ? สุดยอดเลยนะเว้ย! เธอควรจะดีใจมากกว่านี้สิ”
ทั้ง ๆ ที่ลูกสาวเข้ามาดูเหตุการณ์อีกรอบ แต่ภรรยาของผมก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง
“แล้วตอนนี้?”
-#3 END-
Pingback: [Tran] Spin Off Pink to Gray #4 -END- | T1nG